หนาวนี้ระวังติดเชื้อหัดหมอแนะเด็กฉีดวัคซีน

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน นพ. สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ได้รับรายงานโรคหัดในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-17 พฤศจิกายน 2560 พบผู้ป่วย 2,637 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ แรกเกิด-4 ปี อายุ 10-14 ปี และอายุ 5-9 ปี ตามลำดับ โดยเป็นสัญชาติไทย ร้อยละ 88.6 ต่างชาติ ร้อยละ 11.4 ในรอบสัปดาห์มีรายงานผู้ป่วยโรคหัดเป็นกลุ่มก้อน 1 เหตุการณ์ที่จังหวัดเชียงใหม่ พบผู้ป่วย 48 ราย เป็นชาวพม่า 40 ราย หรือ ร้อยละ 83 โดยพบว่า 44 ราย ไม่เคยได้รับวัคซีน อีก 3 ราย ไม่ทราบประวัติวัคซีน และ 1 ราย ได้รับวัคซีนเพียง 1 เข็ม

“คาดว่ามีโอกาสจะพบผู้ป่วยโรคหัดเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ซึ่งอากาศที่เย็นลงทำให้เสี่ยงเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น โรคนี้พบได้ทุกวัย แต่ที่พบบ่อยคือในกลุ่มเด็กเล็ก โดยเกิดจากเชื้อไวรัส Measles ซึ่งสามารถพบได้ในจมูกและลำคอของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิดแล้วเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ อาการคล้ายกับไข้หวัด คือมีไข้ จากนั้นเริ่มมีผื่นนูนแดงขึ้นที่หลังหูแล้วลามไปยังหน้า กระจายตามลำตัว แขนและขา มีน้ำมูกไหล มักจะไอแห้งๆ ตลอดเวลา ตาแดงก่ำและแฉะ อาจพบจุดขาวๆ เล็กขอบสีแดงอยู่ในกระพุ้งแก้ม หลังผื่นผิวหนังลดจะปรากฏเป็นสีแดงคล้ำอยู่หลายวัน” นพ. สุวรรณชัย กล่าวและว่า ส่วนโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อย คือ อุจจาระร่วง หูชั้นกลางอักเสบ ปอดบวม สมองอักเสบ โดยเฉพาะในเด็กที่มีภาวะขาดอาหารหรือภาวะทุพโภชนาการ อยู่ในชุมชนแออัดและในศูนย์เด็กเล็ก ทั้งนี้จะต้องรักษาตามอาการ ถ้าผื่นออกแล้ว 3-4 วัน แต่ไข้ยังสูงอยู่หรือว่าไข้ลงวันเดียวแล้วก็ขึ้นอีก มีอาการไอมาก และหอบ แสดงว่าผิดปกติ อาจมีปอดบวมหรือหลอดลมอักเสบแทรกได้ ต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที นอกจากนี้ให้แยกผู้ป่วยที่สงสัยเป็นหัดจนถึง 4 วันหลังผื่นขึ้น

นพ. สุวรรณชัย กล่าวว่า วิธีที่ดีที่สุดคือการไปรับวัคซีนเพื่อป้องกันโรค โดยเด็กเล็กควรรับวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) ให้ครบ 2 ครั้ง เมื่ออายุ 9-12 เดือน และ 2 ปีครึ่ง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย

ขอบคุณข้อมูลจากมติชนรายวัน