ลอสแองเจลิส (ตอนที่ 7)

คิดว่า การที่ได้มาต่างประเทศในครั้งนี้ จะอยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ ดูความน่ารัก และเล่นกับหลานๆ มีเพื่อนๆ ชวนเที่ยวเหมือนกัน แต่ขออยู่บ้านกับหลานๆ ดีกว่า เพราะมาครั้งนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าใดถึงจะพบกับหลานๆ ด้วยตัวเอง ที่จะให้ลูกพาหลานๆ ไปเมืองไทยนั้น คงอีกนาน ต้องมีภาระความจำเป็นจริงๆ เพราะงานที่ลูกทำอยู่ที่นี่ ไม่ได้เป็นงานของตัวเอง ต้องบริการลูกค้าเป็นประจำตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ ลูกเอาเรา 2 คน ตายาย ไปปล่อยไว้ที่ mall เล็กๆ ใกล้ๆ บ้าน ให้เดินเล่น ชมสินค้าไปเรื่อยๆ ให้คลายเหงา พอดีกับที่ผมเองก็มีอาชีพไปศูนย์การค้าที่เมืองไทยอยู่แล้ว รู้สึกคุ้นเคยเพลิดเพลิน ทั้งๆ ที่ไม่ได้สนใจซื้อสินค้าอะไรเหมือนสมัยก่อน แต่ก็ชอบดูคนผ่านไปมา และคิดเรื่อยๆ วิเคราะห์อย่างลับๆ ว่าแต่ละคน หรือเดินเป็นคู่ ครอบครัว หรือกลุ่มว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง

ร้านขายของใน mall นั้น ไม่ได้ต่างกับร้านในห้างของประเทศไทย บางร้าน เช่น H&M ยังมีโครงสร้างของร้าน แผนกหญิงชายเหมือนกับที่บ้านเราเอง และคนที่มาเที่ยว mall ก็ไม่ใช่ฝรั่งทั้งหมด แต่มีหลากหลายหน้าตา ดูไปมาอาจจะเผลอพูดภาษาไทยด้วยซ้ำ สำหรับร้านอาหารนั้น มีอาหารไทยอยู่ร้านหนึ่งที่นี่ แต่ไม่ได้เข้าไปอุดหนุน เพราะปกติก็ทำกินที่บ้านอยู่แล้ว และโดยปกติ ร้านอาหารไทยที่พบในต่างประเทศ ไม่ว่าที่ไหนๆ มีหลายแห่งที่พูดไทยไม่ได้ เพราะฉะนั้น คำว่า Thai Food นั้นคือประเภทลักษณะของอาหาร ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นร้านของคนไทย

ที่ mall นี้ มีร้านขายสินค้าบริโภคและของใช้เพียงเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการธนาคาร ไม่เกี่ยวกับโรงแรม และไม่มีสถานที่จัดเลี้ยง แต่อาจจะมีอาคารที่อยู่นอก mall ในบริเวณ และที่จอดรถเดียวกัน ซึ่งที่จอดรถเขากว้างขวางมาก ให้รถมากยังไงก็คงไม่เต็ม อาคารเหล่านั้นอาจจะเป็นธนาคาร หรือร้าน แฮมเบอร์เกอร์ที่กระจายมาอยู่บ้านเรา สำหรับที่ mall นี้ เห็นมีอาคารที่อยู่ข้างๆ คือร้าน ROSS จำหน่ายเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายที่ราคาถูกตามคุณภาพ

ประมาณ 4-5 โมงเย็น วันพุธ ที่ลานจอดรถบริเวณหนึ่งจัดตลาดนัด เรียกว่า famer market มีการขายผัก ผลไม้ ผลิตภัณฑ์ในฟาร์ม แต่มีร้านขายผัก ผลไม้ ดูไม่สดชื่นอยู่เพียง 2-3 ร้าน ที่เหลือเป็นร้านขายของจิปาถะ สมัยก่อนเรียก แบกับดิน แต่เดี๋ยวนี้ใช้กางเต็นท์เอา เหมือนที่บ้านเรา แต่ร้านน้อยกว่า ของที่จำได้ มีเครื่องประดับ สายสร้อย แหวน ร้านขายอาหาร พร้อมตั้งโต๊ะสนามชั่วคราวให้นั่งกินกันได้ และมีสวนสนุกสำหรับเด็ก ซึ่งมีเด็กแค่ 1-2 คนเองมาใช้บริการ ทั้งนี้ คงเนื่องจากจัดตลาดนัดประจำทุกสัปดาห์ จึงไม่ได้เรียกร้องความสนใจมากนัก

ที่ตลาดนัดนี้ มีร้านอาหารไทย เห็นคู่สามีภรรยาบริการอยู่ สามีเป็นฝรั่ง เป็นคนทำอาหาร และภรรยาดูเป็นคนไทยวัยกลางคน แต่ไม่ได้เข้าไปทักทาย เห็นมีลูกค้ามากพอสมควร สำหรับราคาที่เห็นก็เป็นอาหารจานเดียวใส่กล่องโฟม เช่น ผัดขี้เมา ผัดไทย ราคาประมาณ 7-8 เหรียญ ร้านอื่นๆ ที่ดูน่ากินและอยู่ในความสนใจของเราคือ ข้าวโพดปิ้ง ซึ่งเสียบไม้ ฝักสีเหลืองดูน่ากินมากๆ และอีกร้านคือข้าวโพดคั่ว ได้ซื้อข้าวโพดคั่วในราคาถุงเล็ก 4 เหรียญมาลองดู ก็กินอร่อย ใช้ได้ แต่ปริมาณเยอะ ขนาดถุงเล็กยังไม่หมด ถ้าจะให้ชอบ ก็ชอบข้าวโพดคั่วที่ตลาดบอง มาร์เช่ บ้านเรา ถุงละ 20 บาท จะคุ้นเคยปากมากกว่า

ที่ตลาดนัดนี้มีการแสดงดนตรีเล็กๆ อยู่วงหนึ่งประดับให้คึกคัก ซึ่งเขาเล่นดี ไพเราะแบบอเมริกัน มีการตั้งเก้าอี้ให้ชม ซึ่งคนที่มานั่งชมทั้งหมด คือ ผู้สูงอายุ ซึ่งคิดว่าเขาคงอยู่ใกล้ๆ และรู้วันนัดหมายมาเป็นประจำ มีผู้หญิงแก่อยู่คนหนึ่งนั่งในรถเข็น มีพี่เลี้ยงดูแล คิดว่าแก่มาก พอดนตรีเล่น เขาขยับมือ ขยับตัวและขาตามจังหวะเพลงเหมือนกับจะเต้นตาม คิดว่าคงจะมีอดีตที่ชอบเสียงเพลง ซึ่งทำให้อายุยืนถึงปัจจุบัน

อีกกลุ่มหนึ่งที่นั่งดูดนตรี คือ กลุ่มรถเข็น ที่คน “เด็กพิเศษ” หรือบุคคลที่มีปัญหาด้านสมอง มีพี่เลี้ยงนั่งคุมคนต่อคน พี่เลี้ยงบางคนยังหนุ่มแน่น รู้สึกสนุก ก็ออกไปขยับแข้งขาหน้าเวที ดูกลุ่มคนในรถเข็นนี้ ยังอายุน้อยวัยหนุ่มสาว รู้สึกสงสารเขามากๆ ที่เกิดมาแล้ว ต้องพิการไม่สมประกอบเหมือนบุคคลทั่วไป แต่เขาก็ออกมาร่วมในสังคมเราด้วย สำหรับพี่เลี้ยงก็ดูเป็นวัยหนุ่มสาวถึงกลางคน งานนี้คงจะไม่สนุกสำหรับเขาที่ต้องมาเฝ้าคนพิการทุกวัน แต่ก็คงต้องทำเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว

สำหรับผมนั้น ลูกๆ พี่น้อง และเพื่อนๆ โชคดี ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญไม่ต้องมาทำงานแบบนี้ แต่อย่างไรก็ตาม คนที่ทำก็คงได้บุญกุศลไปในตัว ที่ได้ช่วยคนยากไร้อย่างเต็มใจ

เมื่อเดินดูเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ได้เดินกลับเข้า mall ไปกินอาหารเย็นที่ food terrace เหมือนทุกๆ ครั้ง อาหารรสชาติดี ใช้กล่องโฟม ช้อนพลาสติก ทุกอย่าง ใช้แล้วทิ้งหมด กินเสร็จแล้วต้องเก็บและทำความสะอาดโต๊ะเอง เพื่อคนที่มานั่งกลุ่มต่อไป เห็นโต๊ะข้างๆ เป็นครอบครัวฝรั่ง พ่อแม่ลูก พ่อคงจะอายุเหยียบ 85 หรือ 90 ต้องนั่งรถเข็น ภรรยาดูอ่อนและแข็งแรงกว่า และลูกสาวที่อายุก็คงราว 50 ขึ้นแล้ว ดูลูกสาวดูแลพ่อเขาแล้วชื่นใจ นี่แหละสัญชาตญาณของมนุษย์ที่รู้จักผู้มีพระคุณ ลูกเขาก็คงได้รับอานิสงส์ แข็งแรงอายุยืนตามพ่อแม่ไปด้วย ที่ mall และตลาดนัดนี้ ไม่เห็นวัยรุ่นที่ดูเกเร น่าชื่นชมกับคนที่นี่ ที่อยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ

นอกจากนั้น ได้เห็นแหม่มแก่ๆ อยู่ 2-3 ครั้ง ที่ยังแต่งตัวสะดุดตา เช่น นุ่งกางเกงฟิตๆ สีขาว เสื้อลายสดใส แต่รูปร่างหน้าตาแก่มาก ขัดกับการแต่งตัวอย่างยิ่ง คิดว่าถ้าทำไปแล้วใจสุข ก็คงส่งผลให้สุขภาพดีและแข็งแรง จากบู๊ คนเคยหนุ่ม